ตลาดต่างประเทศเป็นตลาดที่สำคัญในการจำหน่ายผลผลิตลำไย เนื่องจากผลผลิตกว่าร้อยละ 50 ของไทยมีการส่งออกไปจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศ ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 1.7-1.9 พันล้านบาทต่อปี สำหรับลำไยสดนอกจากนี้แล้วยังมีการส่งออกลำไยในลักษณะผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ เช่น ลำไยอบแห้งมีมูลค่าถึง 1,400 ล้านบาท ลำไยแช่แข็งมีมูลค่า 27 ล้านบาท และลำไยกระป๋องมีมูลค่า 350 ล้านบาท เป็นต้น โดยมีการส่งออกไปยังตลาดที่สำคัญๆ คือ สาธารณรัฐประชาชนจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย แคนาดา สหรัฐอเมริกา และนอกจากนี้ยังมีตลาดอื่นๆ อีกเช่น ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ บรูไน อินโดนีเซีย สาธารณรัฐเกาหลี ประเทศในแถบตะวันออกกลาง และประเทศในแถบยุโรป (การพัฒนาขีดความสามารถในธุรกิจลำไยไทย เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขัน และการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดเชียงใหม่ ,2549)
สหรัฐอเมริกา
บทนำ
ปัจจุบันผู้บริโภคของสหรัฐฯให้ความสนใจในสุขภาพเพิ่มมากขึ้นและในขณะเดียวกันก็มีความต้องการในการบริโภคอาหารที่เป็นของเชื้อชาติอื่นมากขึ้น จากการที่โครงสร้างประชากรของประเทศมีการผสมผสานของเชื้อชาติต่างๆเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชากรเชื้อสายอเมริกาใต้และประชากรเชื้อสายเอเชีย ประชากรสองเชื้อชาตินี้เป็นผู้บริโภคหลักของผลิตผลผักและผลไม้เมืองร้อน สหรัฐอเมริกาสนับสนุนการค้าเสรีในทุกภาค ยกเว้นภาคเกษตรการให้ความช่วยเหลือภาคเกษตรเป็นนโยบายที่ตรงกันข้ามกับนโยบายของ WTO และสร้างความไม่พอใจแก่ประเทศที่กำลังพัฒนาภาคเกษตรมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและการเมืองของสหรัฐฯออกกฎหมายหลายฉบับเพื่อสนับสนุนนโยบายด้านการเกษตร
ข้อกำหนดในการนำเข้าลำไย
สหรัฐฯมีนโยบายเข้มงวดมากในการนำเข้าผลไม้สด ลำไยเป็นผลไม้ที่มีอยู่ในรายชื่อที่ได้ทำข้อตกลงกับ Animal and Plant Health Inspection Service (APHIS) ไม่มีข้อมูลปรากฏรายการผลไม้ของประเทศไทยรวมทั้งลำไยที่อนุญาตให้นำเข้า สำหรับผลิตภัณฑ์ลำไยต้องปฎิบัติตามกฎหมาย กฎระเบียบ และข้อตกลงของ Federal Food, Drug and Cosmetic Act 1997 คือ ห้ามการนำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารที่มีการปลอมปน ปิดฉลากไม่ถูกต้อง อาหารที่ใช้สารปรุงแต่งที่ไม่เป็นไปตามที่กำหนด กฎหมาย Nutrition Labrling and Education Act. 1990 เรื่องฉลากโภชนาการ นอกจากนี้ยังต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบเรื่องการปฏิบัติที่ดีในการผลิต (GMP) อาหารกระป๋องที่เติมกรด (Acidified Canned Food) และ HaZard Analysis and Critical Control Point (HACCP) ส่วนภาษีศุลกากรผลไม้ต่างๆจัดเก็บในอัตราดังนี้ คือ ผลไม้สด 2.6% แช่แข็ง 15.3% ลำไยอบแห้ง 3% และลำไยกระป๋อง 9.3%
สภาพแวดล้อมทางการตลาด
วัฒนธรรมส่งผลพฤติกรรมการบริโภค ซึ่งดูได้จากตลาดผู้บริโภคลำไยในสหรัฐฯ ที่มีขนาดเล็กมากโดยกลุ่มผู้บริโภค คือ คนเชื้อสายเอเชียในสหรัฐฯจำนวนผู้บริโภคลำไยมีแนวโน้มการเติบโตที่ลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากผู้บริโภคซึ่งเป็นกลุ่มชนเชื้อสายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เป็นผู้อพยพเข้าสู่สหรัฐฯรุ่นแรกๆซึ่งมีความคุ้นเคยกับลำไยดี เริ่มแก่ตัวลงและมีจำนวนลดลงเรื่อยๆในขณะที่กลุ่มลูกหลานที่เป็นเชื้อสายของผู้อพยพเหล่านี้จะถูกกลืนเข้าสู่วัฒนธรรมหลักของสหรัฐฯ
จากการสอบถามชาวอเมริกา ส่วนใหญ่ไม่รู้จัก แต่ส่วนผู้บริโภคที่รู้จักลำไยจะรู้ว่าเป็นผลผลิตจากประเทศไทย และจีน จะเห็นได้ว่าคู่แข่งลำไยของไทย ก็คือ ประเทศจีน และจีนสามารถนำเข้าลำไยแช่แข็งได้เมื่อผ่านการ Cold Treatment
ปัจจุบันผู้บริโภคของสหรัฐฯให้ความสนใจในเรื่องสุขภาพเพิ่มมากขึ้น และในขณะเดียวกันก็มีต้องการในการบริโภคอาหารที่เป็นของเชื้อชาติอื่นมากขึ้น จากการที่โครงสร้างประชากรของประเทศมีการผสมผสานของเชื้อชาติต่างๆเพิ่มมากขึ้น ชาวอเมริกาจะยอมรับผลไม้ชนิดใหม่ขึ้นอยู่กับคุณค่าสารอาหาร รสชาติ ความซื่อตรง ความสะดวก และข้อมูลที่ได้รับจากสินค้าชนิดใหม่ อย่างไรก็ตามชาวสหรัฐฯจะยอมรับผลไม้ชนิดใหม่ที่คุ้นเคย
ผลิตภัณฑ์
ชาวอเมริกาส่วนใหญ่ไม่รู้จักผลิตภัณฑ์ลำไย ส่วนผู้บริโภคที่รู้จักจะเป็นเชื้อสายชาวเอเชีย ดังนั้นผลิตภัณฑ์ลำไยจึงมีปริมาณไม่มาก ส่วนผลิตภัณฑ์ลำไยที่มีจำหน่าย ได้แก่ ลำไยแช่แข็ง ลำไยอบแห้งและลำไยกระป๋อง
ราคา
จากการสำรวจปี 2543 ลำไยที่วางจำหน่ายในซุปเปอร์มาร์เกตของสหรัฐฯ จะอยู่ในรูปแบบของลำไยแช่แข็งทั้งเปลือก โดยมีราคาชายปลีกตั้งแต่ 1.19 เหรียญ ต่อ 10 ออนซ์ หรือ 99 เซนต์-1.5 เหรียญ ต่อปอนด์ หรือ 99 เซนต์ – 1.49 เหรียญ ต่อครึ่งปอนด์
ช่องทางการจัดจำหน่าย
สถานที่ซื้อผลิตภัณฑ์ลำไยในสหรัฐฯ คือ ร้านซุปเปอร์มาร์เกตของชาวเอเชีย
การส่งเสริมการตลาด
การส่งเสริมการตลาดลำไยมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์เป็นอย่างดี มีการส่งเสริมการขาย (ลด แลก แจก แถม) เสมอ และการโฆษณาใน Newpaper circular/flyers มีจำนวนผู้ตอบรับกับสื่อนี้มากเป็นอันดับที่หนึ่ง
แคนาดา
บทนำ
ผู้บริโภคในแคนาดาชอบอาหารที่ปรุงในบ้านที่มีคุณภาพและความปลอดภัย ปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อผักผลไม้สด คือ สดและน่ารับประทาน ชาวแคนาดาบริโภคผลไม้สดเพิ่มขึ้น 56% ระหว่างปี ค.ศ. 1978 ถึงปี ค.ศ. 1998 โดยมีเหตุผลด้านสุขภาพเป็นสำคัญ
ข้อกำหนดในการนำเข้าลำไย
การนำเข้าผลไม้จะกำหนดให้ผลไม้ไทยที่นำเข้าต้องมีใบรับรองปลอดศัตรูพืชและกำหนดให้ผู้นำเข้าต้องได้รับใบอนุญาต และกำหนดให้มีประกาศนียบัตรการตรวจรับรอง (Inspective Certification) สำหรับผลิตภัณฑ์ลำไยต้องปฏิบัติตาม Processed Product Regulations ภายใต้ Canada Agricultural Act ครอบคลุมเรื่องคุณภาพการแสดงฉลาก การบรรจุภัณฑ์ เรื่องสุขอนามัย และความปลอดภัย ส่วนของภาษี ไม่มีการเก็บภาษีผลิตภัณฑ์ลำไยสด ลำไยแช่แข็ง ลำไยอบแห้ง และลำไยกระป๋อง
สภาพแวดล้อมทางการตลาด
ในปัจจุบันมีการอพยพของประชากรจากฮ่องกง และประเทศอื่นๆในเอเชียโดยเฉพาะประชากรเชื้อสายจีนมาตั้งถิ่นฐานเป็นจำนวนมาก การเพิ่มขึ้นดังกล่าวส่งผลให้วัฒนธรรมของเอเชียมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น จะเห็นได้จากมีการนำเข้าสินค้าจากเอเชียมากขึ้น ตัวอย่างเช่น อาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงผลและผลไม้
คู่แข่งขันลำไยสดของไทย คือ สาธารณรัฐประชาชนจีน ชาวแคนาดา ส่วนใหญ่จะไม่รู้จักลำไยแต่มีความสนใจ ส่วนผู้บริโภคที่รู้จักลำไยจะทราบว่าเป็นผลผลิตของประเทศไทย และจีน แต่ไม่รู้จักพันธุ์ของลำไย
ในประเทศแคนาดาประชากรให้ความสนใจในเรื่องสุขภาพและคุณค่าทางอาหาร มีความสนใจและอยากลองลิ้มอาหารและผลไม้ต่างชาติมากขึ้น และมีชนชาติอพยพเช้ามาอาศัยเพิ่มขึ้น ได้แก่ อินเดีย จีน เวียดนาม และคนเอเชียเหล่านี้เป็นผู้บริโภคผักและผลไม้จากแถบเอเชียมากที่สุด ทำให้มีความต้องการอาหารประเภทผักผลไม้มากขึ้น การตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ลำไย คือ คุณภาพ โดยผู้บริโภคจะเลือกซื้อลำไยที่มีคุณภาพ และปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ ฤดูกาลและอากาศ
ผลิตภัณฑ์
ชาวแคนาดาส่วนใหญ่ไม่รู้จักผลิตภัณฑ์ลำไย ส่วนผู้บริโภคที่รู้จักจะเป็นเชื้อสายชาวเอเชีย ดังนั้นผลิตภัณฑ์ลำไยจึงมีปริมาณไม่มาก ส่วนผลิตภัณฑ์ลำไยที่มีจำหน่าย ได้แก่ ลำไยสด ลำไยสดแช่แข็ง และลำไยกระป๋อง
ราคา
จากการสำรวจของสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครแวนคูเวอร์ ในเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนมิถุนายน 2544 พบว่าราคาลำไย เท่ากับ 2.99 ดอลลาร์/ปอนด์
ช่องทางการจัดหน่าย
ชาวแคนาดานิยมซื้อสินค้าจากซุปเปอร์มาร์เกตซึ่งมีสินค้าผักและผลไม้หลากหลายชนิด ส่วนร้านค้าปลีกในเครือบริษัทแม่ ที่ตั้งอยู่ในย่านคนต่างชาติและชาวเอเชียจะมีผักและผลไม้ที่มาจากประเทศเหล่านั้น และร้านค้าดังกล่าวไม่กล้าที่จะนำเข้าโดยตรงจากต่างประเทศ เนื่องจากไม่แน่ใจในความสม่ำเสมอของคุณภาพ
การส่งเสริมการตลาด
รัฐบาลมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ลำไยเป็นอย่างดี มีการส่งเสริมการขาย (ลด แลก แจก แถม) เสมอ
สาธารณรัฐประชาชนจีน
บทนำ
ประเทศจีนมีการนำเข้าลำไยจากไทยประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์จากปริมาณนำเข้าลำไยทั้งหมด ส่วนปริมาณที่เหลือมีการนำเข้าจากเวียดนามโดยมีการนำเข้าลำไยจากไทย ในช่วงเดือนมกราคม ถึงเดือนตุลาคม 2547 มีปริมาณถึง 40,760,114 กิโลกรัม หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 636,755,936 บาท
รัฐบาลประเทศจีนได้ให้ความสำคัญกับนโยบายด้านการเกษตรมากเพราะ 70 เปอร์เซ็นต์ของประชากรจีนอาศัยอยู่ในชนบท จึงต้องมีการสนับสนุนให้ภาคเกษตร มีผลผลิตเพียงพอต่อความต้องการของประชากรในประเทศ และเอื้ออำนวยให้ประชากรในชนบทมีงานทำและมีรายได้พอเพียง เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาทางสังคม
ข้อกำหนดในการนำเข้าลำไย
การนำลำไยสดต้องมีใบรับรองปลอดศัตรูพืช จากกรมวิชาการเกษตรของประเทศไทยและต้องผ่านการตรวจสอบปลอดจากโรคพืชจาก State Adaminstration for Entry-Exit Inspection and Quarantine (SAIQ) ของประเทศจีน และกำหนดปริมาณสารซัลเฟอร์ไอออกไซด์ตกค้างที่เปลือกไม่เกิน 350 ppm และในเนื้อไม่เกิน 30 ppm นอกจากนั้นแล้วกำหนดให้อาหารที่อยู่ในรูปบรรจุภัณฑ์จะต้องติดฉลากเป็นภาษาอังกฤษและต้องพิมพ์เป็นภาษาจีนตัวเท่าภาษาอังกฤษหรือใหญ่กว่า
สภาพแวดล้อมทางการตลาด
ลำไยเป็นที่รู้จักและนิยมบริโภคเป็นอย่างมาก เพราะชาวจีนถือว่าลำไยเป็นพืชสมุนไพร และเป็นผลไม้มงคลที่ใช้สื่อถึงม้ามังกร สัตว์เทพเจ้า ในนิยายของชาวจีน ถ้าได้บริโภคปีละ 1 ผลขึ้นไปถือว่าเป็นผู้มีบุญ สร้างความเป็นสิริมงคลให้กับชีวิตได้ นอกจากนั้นชาวจีนยังเชื่อว่าเป็นยาธรรมชาติบำรุงร่างกายระดับสูง มีสรรพคุณรักษา ชำระล้างในร่างกาย รักษาโรคเบื่ออาหาร ส่วนลำไยอบแห้ง ชาวจีนมีความเชื่อว่าสรรพคุณเนื้อลำไยแห้งช่วยบำรุงเลือด บำรุงสมอง ช่วยบำรุงกำลังและเป็นสมุนไพรได้ด้วย
ในปัจจุบันรัฐบาลจีนได้มีปลูกลำไยเพิ่มขึ้นเป็นลำดับและมีการพัฒนาพันธุ์อย่างต่อเนื่องโดยเพาะปลูกในมณฑลฟูเจี้ยน กวางตุ้ง กวางสี นอกจากนั้นยังมีการนำเข้าลำไยจากเวียดนาม ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกลำไยของไทย
ผลิตภัณฑ์
การเลือกซื้อลำไยสดผู้บริโภคชาวจีนจะพิจารณาจากราคา ขนาด และคุณภาพ สีของเปลือกจะถูกพิจารณาโดยจะต้องออกเหลืองอ่อนๆดูสะอาด เนื้อหนา มีรสหวาน และเนื้อแห้ง ส่วนลำไยอบแห้งมีราคาสูง เมื่อเทียบกับรายได้ของชาวจีน โดยส่วนใหญ่ลำไยอบแห้งที่ซื้อจะเป็นลำไยอบแห้งทั้งเปลือกมากกว่าแบบแกะเนื้อ
ลำไยสดที่ชาวจีนนิยมบริโภคต้องมีเนื้อหนาไม่ติดเมล็ด ลูกโต รสชาติหอมหวาน นอกจากจะบริโภคลำไยเป็นผลไม้แล้ว ยังนำไปใช้ประกอบอาหารหลายประเภท เช่น ตุ๋นเข้ากับเครื่องยาจีน นึ่งรวมกับไข่และข้าว เป็นอาหารบำรุงช่วงฤดูหนาว นอกจากนั้นชาวจีนชอบลำไยอบแห้งที่เนื้อมีสีทอง เมล็ดแห้ง รับประทานแล้วหอม
ราคา
ราคาขายลำไยสดที่เกษตรกรขายได้ปี 2547 เฉลี่ย เดือนมกราคม ถึงเดือนพฤศจิกายน เกรด AA ราคา 31.76 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนราคาลำไยอบแห้ง ณ วันที่ 30 มกราคม 2543 (1 หยวน เท่ากับ 4.3 บาท) เกรด AA ลำไยไทย 35 หยวนต่อกิโลกรัม ลำไยจีน 26 หยวนต่อกิโลกรัม ลำไยเวียดนาม 12 หยวนต่อกิโลกรัม เกรด A ลำไยไทย 27 หยวนต่อกิโลกรัม ลำไยจีน 21 หยวนต่อกิโลกรัม ลำไยเวียดนาม 10 หยวนต่อกิโลกรัม
ช่องทางการจัดจำหน่าย
ตลาดนำเข้าลำไยสดของจีนที่สำคัญๆจะตั้งอยู่ 3 แห่งด้วยกัน ซึ่งประกอบไปด้วย
1. นครกวางโจว เป็นศูนย์กลางนำเข้าและกระจายผลไม้สดเข้า ที่ใหญ่ที่สุดของจีน
2. นครฝูโจว เป็นเมืองหลวงของมณฑลฝูเจี้ยนค่อนมาทางเหนือของมณฑล ปัจจุบันมีบริษัทการค้าฝูโจวเหว่ยไท จำกัด ได้เป็นบริษัทเดียวที่ได้รับอนุญาตนำเข้าผลไม้สด และเป็นเจ้าของตลาดค้าส่งผลไม้สด ชื่อ “ฝูโจวกลั๋วผิ่นพีฟาซื่อฉ่าง”
3. ซ่างไห่ (เซี่ยงไฮ้) ซึ่งเป็นมหานครที่รวยที่สุดในจีน ปัจจุบันซ่างไห่เริ่มมีบทบาทเป็นเมืองท่านำเข้าผลไม้สดจากไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่จีนและไทยจัดทำความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ตลาดลำไยอบแห้งที่สำคัญ จะมีเมืองสำคัญ 2 เมือง คือ
1. เมืองผู่เถียน มณฑลฝูเจี้ยนอยู่ห่างจากนครฝูโจวไปทางใต้ประมาณ 84 กิโลเมตร เป็นแหล่งผลิตลำไยที่สำคัญของจีนมาตั้งแต่อดีตและได้กลายเป็นศูนย์กลางการค้าลำไยอบแห้งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของจีน
2. ตลาดอี้อู เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ตอนกลางของมณฑลเจ๋อเจียง ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นศูนย์กลางตลาดขายส่งของสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใหญ่ที่สุดของจีนที่กระจายสินค้าไปทั่วประเทศ ทั้งลำไยอบแห้งของจีน ไทย และเวียดนาม ถูกส่งเข้ามายังตลาดขายส่งอี้อู เพื่อกระจายต่อไปยังเมืองต่างๆในมณฑล
การส่งเสริมการตลาด
ผลไม้ต่างๆของไทยที่นำเข้าประเทศจีน มีการส่งเสริมการรับประทานผลไม้เมืองร้อน เป็นหนทางหนึ่งในการเพิ่มปริมาณการค้าให้เพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างเช่น การส่งเสริมการขายโดยการจัดนิทรรศการผลไม้เมืองร้อน
ฮ่องกง
บทนำ
ฮ่องกงเป็นตลาดผักสดและผลไม้สดขนาดเล็กแต่เป็นตลาดที่พัฒนาแล้ว การตัดสินใจซื้อสินค้าของชาวฮ่องกงให้ความสำคัญด้านราคาสินค้ามากขึ้น ฮ่องกงเป็นตลาดปลอดภาษีนำเข้าสำหรับผักและผลไม้จากทั่วโลก และชาวฮ่องกงส่วนใหญ่นิยมบริโภคอยู่แล้ว ดังนั้นการแข่งขันจึงมีค่อนข้างสูง ผู้ส่งออกจึงควรรักษาสุขภาพและพัฒนาขนาดผลไม้ที่เหมาะสมกับรสนิยมของผู้บริโภคและสภาพความเป็นอยู่แออัดของฮ่องกง
ข้อกำหนดในการนำเข้าลำไย
ฮ่องกงใช้ระบบกลไกการตลาดควบคุมปริมาณและคุณภาพของการนำเข้าผักผลไม้และผลิตภัณฑ์ลำไย สำหรับผลิตภัณฑ์ลำไยฮ่องกงไม่ได้เข้มงวดในการนำเข้า แต่ข่าวด้านลบด้านลำไยที่นำเข้าจากไทยในสื่อมวลชนในฮ่องกง จีน และสิงคโปร์มีผลกระทบต่อความมั่นใจจองผู้บริโภคในฮ่องกง สำหรับผลิตภัณฑ์ลำไยโดยส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศไทย กำหนดให้ผลไม้ที่นำเข้าต้องมีใบรับรองปลอดศัตรูพืช สำหรับผลิตภัณฑ์ลำไยต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ กำหนดปริมาณสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) ตกค้างบนเปลือกลำไยไม่เกิน 350 ppm และในเนื้อลำไย กำหนดปริมาณตกค้างในเนื้อต้องเป็น 0 ppm ซึ่งมีการผ่อนปรนอย่างเป็นทางการให้มีสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ตกค้างในเนื้อลำไยได้ไม่เกิน 10 ppm
สภาพแวดล้อมทางการตลาด
ฮ่องกงจะมีวัฒนธรรมคล้ายคลึงประเทศจีน ชาวฮ่องกงเชื่อว่าลำไยอบแห้งเป็นพืชมงคลที่ใช้บูชาพิธีต่างๆ
ฮ่องกงนำเข้าลำไยจากประเทศไทย จีน สิงคโปร์ ออสเตรเลีย ไต้หวัน และเวียดนาม ประเทศเหล่านี้เป็นคู่แข่งขันสำคัญของไทย ลำไยที่ฮ่องกงนำเข้าส่วนใหญ่มาจากประเทศไทย กำหนดให้ผลไม้ที่นำเข้าต้องมีใบรับรองปลอดศัตรูพืช สำหรับผลิตภัณฑ์ลำไยต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ กำหนดปริมาณสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) ตกค้างบนเปลือกลำไยไม่เกิน 350 ppm และในเนื้อลำไย กำหนดปริมาณตกค้างในเนื้อต้องเป็น 0 ppm ซึ่งมีการผ่อนปรนอย่างเป็นทางการให้มีสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) ตกค้างบนเปลือกลำไยไม่เกิน 10 ppm
สภาพแวดล้อมทางการตลาด
ฮ่องกงจะมีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกับประเทศจีน ชาวฮ่องกงเชื่อว่าลำไยอบแห้งเป็นพืชมงคลที่ใช้บูชาในงานพิธีต่างๆ
ฮ่องกงนำเข้าลำไยจากประเทศไทย จีน สิงคโปร์ ออสเตรเลีย ไต้หวันและเวียดนาม ประเทศเหล่านี้เป็นคู่แข่งขันสำคัญของประเทศไทย ลำไยที่ฮ่องกงนำเข้าส่วนใหญ่มาจากประเทศไทย
ผลิตภัณฑ์
ผู้บริโภคชาวฮ่องกงทุกเพศทุกวัยเป็นผู้บริโภคลำไยสด ลำไยที่ซื้อมักจะเป็นลำไยสดเกรดสูง ผู้บริโภคซื้อลำไยสดเพื่อรับประทานเป็นผลไม้ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อลำไยสด คือ ความสดของลำไยมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ ราคา รูปแบบของบรรจุภัณฑ์ลักษณะลำไยที่ชอบ คือ ผิวต้องดีสีเหลือง สด กรอบ ขนาดใหญ่ หวาน เนื้อไม่เละ เมล็ดเล็ก ส่วนลำไยอบแห้ง ผู้บริโภคชาวฮ่องกงนิยมลำไยอบแห้งที่มีเนื้อลำไยสีออกแดง ลำไยอบแห้งนำไปชงกับน้ำร้อนเป็นส่วนผสมของน้ำซุป นำไปรับประทานเล่น และซื้อไปเป็นของฝากผู้ใหญ่
ราคา
ราคาจำหน่ายปลีกลำไยสดในฮ่องกง จะมีการเคลื่อนไหวลดลงอย่างรุนแรงหากมีปริมาณการนำเข้ามากกว่าปริมาณการบริโภคต่อวัน เนื่องจากการจำหน่ายเป็นแบบฝากขาย ที่ผู้นำเข้าไม่ต้องรับภาระการขาดทุน โดยเฉพาะในช่วงเดือนกรกฎาคม-เดือนสิงหาคมของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงที่ปริมาณลำไยส่งออกไปยังตลาดฮ่องกงมากที่สุด
ช่องทางการจัดจำหน่าย
ช่องทางการจำหน่ายลำไยในฮ่องกง มีตลาดสด ซึ่งแม่บ้านชาวฮ่องกงนิยมซื้อจากตลาดสด เนื่องจากเชื่อว่าอาหารสดที่ซื้อจากตลาดสดจะมีความสด ความหลากหลาย ราคาถูก และบริการที่ดี และมีซุปเปอร์มาร์เกตที่ในปัจจุบันมีการขยายตัวขึ้นอย่างมากและรวดเร็วตามรูปแบบการดำเนินชีวิตของชาวฮ่องกง มีสินค้ามากมายหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น สินค้าประเภทของชำ ผัก และผลไม้ เป็นต้น
การส่งเสริมการตลาด
ส่วนการส่งเสริมการตลาดของลำไยไทย มีการโฆษณาและประชาสัมพันธ์อย่างดี มีการส่งเสริมการขาย (ลด แลก แจก แถม) เสมอ
มาเลเซีย
บทนำ
ตลาดมาเลเซียมีการผลิตผักผลไม้เมืองร้อนพอสมควร และมีการนำเข้าผักผลไม้บ้าง โดยผักผลไม้เมืองร้อนส่วนใหญ่นำเข้าจากไทยและอินโดนีเซีย ส่วนการส่งออกผักผลไม้เมืองร้อนมีพอสมควรและมีปริมาณเพิ่มขึ้น ในช่วงเดือนมกราคม ถึงเดือนตุลาคม ในปี 2547 มูลค่าการนำเข้าลำไยจากประเทศไทย มีปริมาณ 2,678,558 กิโลกรัมหรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 40,955,547 บาท
ข้อกำหนดในการนำเข้าลำไย
มาตรฐานและกฎระเบียบทางด้านเทคนิคซึ่งมาเลเซียได้มีแผนการดำเนินการจัดทำมาตรฐานของประเทศให้สอดคล้องกับมาตรฐานนานาชาติ โดยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับลำไยและผลิตภัณฑ์ลำไย ซึ่งมีดังนี้
- เรื่อง Food Labeling ที่ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานและกฎระเบียบและมีข้อกำหนดเรื่องบรรจุภัณฑ์และการแสดงฉลากที่ต้องปฏิบัติตาม
- การนำลำไยและผลิตภัณฑ์ลำไยเข้ามาเลเซีย ต้องขออนุญาตนำเข้า จาก Department of Agriculture ในเรื่องของการมีสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ตกค้างในเปลือกและในเนื้อลำไย ดังนี้ คือ การกำหนดปริมาณตกค้างในเนื้อต้องเป็น 0 ppm และปริมาณตกค้างที่พบได้ในเปลือกไม่เกิน 100 ppm และจากต้นทางไม่เกิน 300 ppm
- ส่วนอัตราภาษีอากรนำเข้าโดยทั่วไปของมาเลเซียโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ไม่สูงนัก และมาเลเซียมีข้อผูกพันที่จะต้องลดอากรขาเข้าสินค้าเกษตรสำเร็จรูป และสินค้าอุตสาหกรรมลงเหลือร้อยละ 0-5 ภายใน 10-15 ปี กลุ่มสินค้าที่คาดว่าไทยจะได้รับประโยชน์มากขึ้น ได้แก่ ผักและผลไม้สดต่างๆ เช่น ทุเรียน มะม่วง ลิ้นจี่ ลำไย
สภาพแวดล้อมทางการตลาด
มาเลเซียมีประชากรหลายกลุ่มที่มีความแตกต่างกันทางด้านชาติพันธุ์และวัฒนธรรมหลายอย่าง ประกอบด้วยเชื้อชาติต่างๆคือ มาเลย์และชาวพื้นเมืองประมาณ 58% จีนประมาณ 27% อินเดียประมาณ 8% และอื่นๆประมาณ 7% ทำให้มีวัฒนธรรมที่ผสมผสานกันอย่างมากมาย
คู่แข่งขันลำไยอบแห้งของไทย คือ สาธารณรัฐประชาชนจีน และเวียดนาม โดยเวียดนามจะมีการส่งลำไยอบแห้งไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน และส่งต่อมายังมาเลเซีย
ผลิตภัณฑ์
ผู้บริโภคจะนิยมลำไยสดที่เปียก คือมีการชุบน้ำ หรือมีการนำน้ำแข็ง ไปวางไว้ด้านบน เพื่อให้เปียกชุ่มและเย็น โดยจะซื้อลำไยสดไปรับประทานเป็นผลไม้ชนิดหนึ่ง ไม่ได้มุ่งเน้นว่าทานเฉพาะโอกาสพิเศษ ส่วนลำไยอบแห้งที่ส่งมาจำหน่ายในมาเลเซียส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อสีดำ โดยที่มาเลเซียจะนิยมลำไยแกะเนื้อมากกว่าลำไยอบแห้งทั้งลูก ลำไยอบแห้งส่วนใหญ่จะมีการนำเข้า เพื่อจำหน่ายสำหรับนำไปผลิตยา หรือเป็นส่วนประกอบของยาจีน และจำหน่ายให้โรงงานผลิตซุป และลำไยกระป๋องจะเป็นผลไม้ที่บริโภคโดยคนทุกเพศทุกวัย แต่ชาวมุสลิมจะชอบบริโภคลำไยกระป๋องมากเนื่องจากชอบบริโภคของหวาน นอกจากนี้ชาวมาเลเซียจะชอบลำไยกระป๋องที่ผสมสับปะรด
ชาวมาเลเซีย รู้จักลำไยพันธุ์เบี้ยวเขียว และพันธุ์สีชมพู โดยจะชอบทั้งสองพันธุ์นี้ และชอบพันธุ์เบี้ยวเขียวที่เนื้อกรอบและหวาน มาเลเซียนิยมลำไยแกะเนื้อมากกว่าลำไยอบแห้งทั้งลูก และตรายี่ห้อก็ไม่ได้มีความสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อ โดยการซื้อลำไยอบแห้งจะคำนึงถึงเรื่องของรสชาติความหวานของลำไยอบแห้ง
ราคา
ราคาขายลำไยสดที่เกษตรกรขายได้ปี 2547 เฉลี่ย 2547 เฉลี่ยเดือนมกราคมถึงเดือนพฤศจิกายน เกรด AA ราคา 31.76 บาทต่อกิโลกรัม
ช่องทางการจัดจำหน่าย
ตลาดลำไยสดในมาเลเซีย แบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน คือ ปีนัง , Ipoh (กัวลาลัมเปอร์) และ Yohobau จะนิยมลำไยเกรดต่ำ เนื่องจากประชาชนมีรายได้ต่ำ ถึงแม้ว่าลำไยสดที่วางจำหน่ายจะมีหลายขนาด แต่ขนาดกลางและเล็ก จะได้รับความนิยมมากที่สุดเนื่องจากมีราคาถูกกว่า ส่วนลำไยอบแห้งแกะเนื้อจะหาซื้อได้จากร้านค้าปลีกขนาดเล็ก (Minimarket) และซุปเปอร์มาร์เก็ต ส่วนลำไยอบแห้งทั้งเปลือกจะซื้อได้จากร้านค้าปลีกและร้านขายยา และลำไยกระป๋องจะมีวางจำหน่ายตามซุปเปอร์มาร์เกตและมินิมาร์ททั่วไป โดยจะมีวางจำหน่ายหลายยี่ห้อ แต่ไม่มียี่ห้อใดที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
การส่งเสริมการตลาด
ส่วนการส่งเสริมการตลาด ลำไยไทยมีชื่อเสียงดีเป็นที่รู้จัก มีคุณภาพสูง มีการโฆษณาและประชาสัมพันธ์เป็นอย่างดี มีการส่งเสริมการขาย (ลด แลก แจก แถม) เสมอ
สิงคโปร์
บทนำ
สิงคโปร์เป็นตลาดผักสดและผลไม้สดขนาดใหญ่ในภูมิภาคนี้ นอกจากประชาชนชาวสิงคโปร์จะนิยมการบริโภคผลไม้สดและบริโภคครั้งละปริมาณมากแล้ว สิงคโปร์ก็ยังส่งออกต่อผลไม้สดไปประเทศต่างๆหลายประเทศ
ข้อกำหนดในการนำเข้าลำไย
สินค้าส่วนใหญ่สามารถนำเข้าได้อย่างเสรี มีเพียงสินค้าบางรายการที่มีการควบคุมหรือห้ามเพื่อเหตุผลทางด้านสุขภาพ ความปลอดภัยและความมั่นคงโดยเฉพาะสินค้าอาหารที่นำเข้ามีการควบคุมโดย Food Control Department, Ministry of the Environment หรือ the Primary Production Department สิงคโปร์กำหนดให้อาหารแปรรูปใช้มาตรฐานที่กำหนดให้ในเรื่ององค์ประกอบของอาหาร การใช้สารเจือปนและสารถนอมอาหาร ชนิดบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น ข้อมูลการอนุญาตให้ใช้ Chemical Preservative เช่น อนุญาตให้ใช้สารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในผักและผลไม้และตกค้างไม่เกิน 350 ppm และลำไยสดให้มีสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ตกค้างบนเปลือกลำไยไม่เกิน200-300 ppm และในเนื้อลำไย กำหนดปริมาณตกค้างในเนื้อต้องเป็น 0 ppm ส่วนภาษีสำหรับลำไย และผลิตภัณฑ์ลำไยไม่มีการเก็บภาษีศุลกากร
สภาพแวดล้อมทางการตลาด
ประเทศสิงคโปร์มีประชากรที่มีเชื้อสายชาวจีนถึง 76.5% ชาวมาเลย์ 13.8% ชาวอินเดีย 8.1% และอื่นๆ 1.6% ดังนั้นวัฒนธรรมจีนจะเป็นวัฒนธรรมที่มีความสำคัญเพราะสัดส่วนจำนวนประชากรของประเทศมีมากเป็นอันดับที่หนึ่ง
ประเทศมาเลเซียเป็นคู่แข่งรายใหญ่ของไทย โดยมาเลเซียจะส่งผลไม้เข้าไปขายในสิงคโปร์ได้ปริมาณมากกว่า เพราะมีความได้เปรียบด้านการขนส่งและราคาต่อหน่วยสินค้าผลไม้มาเลเซียถูกกว่าของไทย สิงคโปร์มีการนำเข้าลำไยอบแห้งจากประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่ และมีการนำเข้าจากจีนเป็นบางส่วน
คนสิงคโปร์บริโภคผักสด และผลไม้ชนิดกรอบ หวานและฉ่ำ โดยเฉพาะนิยมบริโภคผลไม้สดมากและบริโภคครั้งละมากๆ ผลไม้ที่นิยมบริโภค ได้แก่ ส้ม องุ่น แอปเปิล แพร์ แตงโม สับปะรด กล้วย มะละกอ ส่วนผลไม้เมืองร้อนประเภท ทุเรียน เงาะ มังคุด ลิ้นจี่ ลำไย มะม่วงน้ำดอกไม้ เป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมไม่น้อย ผู้บริโภคมีแนวโน้มจะเลือกบริโภคผลไม้เมืองร้อนเหล่านี้มากกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ
ผลิตภัณฑ์
พันธุ์ลำไยสดที่ชาวสิงคโปร์นิยมบริโภค คือพันธุ์อีดอและเบี้ยวเขียว ผู้บริโภคให้ความสนใจในลักษณะลำไย 3 ลำดับแรก คือรสชาติมากที่สุด (โดยเฉพาะความหวาน) รองลงมา คือเนื้อลำไย และรูปร่างของผลลำไย ชาวสิงคโปร์ชอบลำไยอบแห้งสีดำ เนื้อเละ ไม่ชอบแบบเนื้อสีทอง เนื่องจากจะนำไปทำเป็นยา ดังนั้นลำไยอบแห้งที่ส่งไปจำหน่ายยังสิงคโปร์ไม่ควรให้สีเนื้อลำไยแตกเป็นชิ้นเล็กๆและอบแห้งมากจนเกินไป และไม่มีสิ่งปลอมปนอื่นๆในสินค้า
ราคา
ราคาขายปลีกผลไม้ในซุปเปอร์มาร์เกตกับตลาดสดหรือแผงผลไม้สดค่อนข้างใกล้เคียงกัน ราคาขายปลีกผลไม้สดในประเทศสิงคโปร์ โดยเฉลี่ยค่อนข้างแพง แต่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อรับประทานได้ทุกฤดูกาล ราคาผลไม้ที่ขายปลีกแบ่งเป็นราคาขายต่อหน่วยและราคาขายต่อกิโลกรัม ขึ้นอยู่กับชนิดของผลไม้และวิธีการเสนอขายของผู้ค้าปลีก โดยลำไยจะนิยมขายในราคาต่อกิโลกรัม
ช่องทางการจัดจำหน่าย
ในประเทศสิงคโปร์ซุปเปอร์มาร์เกตมีลักษณะเป็นเครือข่ายธุรกิจ โดยมีสาขากระจายอยู่ในศูนย์กลางการค้าและเขตชุมชนใหญ่ๆส่วนตลาดสดนั้นมีลักษณะคล้ายประเทศไทย โดยมีการจำหน่ายทั้งกับข้าวสดและแห้ง ส่วนใหญ่จำหน่ายเฉพาะตอนเช้า โดยสินค้าผักและผลไสดก็เป็นมุมหนึ่งของตลาดอาหาร มีแผงจำหน่ายผลไม้สดประมาณตลาดละ 2-3 แผง มีผลไม้สดต่างๆคละกันไปตามฤดูกาลผลิตของผลไม้ นอกจากนี้ผลไม้สดยังมีจำหน่ายปลีกตามแผงลอยและรถเข็นหาบแร่ ตลาดขายส่งผักสดและผลไม้สดของสิงคโปร์ได้แก่ Paris Panjang Wholesale Market เป็นศูนย์กลางนำเข้าและกระจายสินค้าเข้าสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ
การส่งเสริมการตลาด
การส่งเสริมการตลาดในประเทศสิงคโปร์ส่วนใหญ่ที่ใช้กับสินค้าผลไม้สดจะดำเนินการในซุปเปอร์มาร์เกตโดยร่วมกับองค์กรของรัฐบาลของประเทศผู้ส่งออกผลไม้นั้น เพื่อเผยแพร่ภาพลักษณ์และสร้างความคุ้นเคยกับผู้บริโภคโดยจัดในลักษณะสัปดาห์เผยแพร่ผลไม้ที่ต้องการทำประชาสัมพันธ์ เช่น การจัดสัปดาห์เผยแพร่กีวีฟรุตของนิวซีแลนด์ หรือสัปดาห์เผยแพร่แอปเปิ้ลของสหรัฐอเมริกา เป็นต้น ในระหว่างการจัดสัปดาห์เผยแพร่สินค้าผลไม้เหล่านั้น จะมีการลดราคาสินค้าเป็นแรงจูงใจ มีป้ายโปสเตอร์แขวนบนเพดาน มีพนักงานเชิญชวนผู้ซื้อรวมถึงการจับฉลากรางวัลต่างๆเพื่อสมนาคุณด้วย นอกจากนี้อาจจะมีการประชาสัมพันธ์ทางสื่อมวลชนแขนงต่างๆ และซุปเปอร์มาร์เกตเองก็จัดส่งแผ่นใบปลิวไปตามบ้านพักอาศัยด้วย
ไต้หวัน
ตลาดลำไยไต้หวัน
ลำไยมีการปลูกมากทางภาคใต้ของประเทศ ในปี พ.ศ. 2540 มีพื้นที่ปลูกประมาณ 1.5 แสนไร่ ให้ผลผลิตประมาณ 1.3 แสนตัน โดยผลผลิตลำไยของไต้หวัน 90% ใช้บริโภคภายในประเทศ โดยลำไยออกสู่ตลาดช่วงเดือนกรกฎาคม-เดือนกันยายน ส่วนที่เหลืออบแห้งส่งออกสาธารณรัฐประชาชนจีน และฮ่องกง แต่ราคาลำไยในไต้หวันค่อนข้างแพง เพราะต้นทุนการผลิตสูง (มิตรชัย ทาบุดดา, 2545)
การส่งออก
ไต้หวันมีการส่งออกลำไยในรูปแบบลำไยอบแห้งมากที่สุด โดยมีมูลค่าส่งออกถึง 2.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี ค.ศ. 1997 และ 1.3 ล้านเหรียญสหรัฐในปี ค.ศ. 1998 ประเทศที่มีการนำเข้าลำไยจากไต้หวัน คือ ฮ่องกง สหรัฐอเมริกา และสิงคโปร์ (Long Production in Asia, 2547)
กฎระเบียบการนำเข้า
ผลไม้ของไทยในระเบียบการนำเข้าของ Council of Agriculture แจ้งว่า ไทยเป็นเขตโรคระบาดของพืชหลายชนิด สำหรับผลิตภัณฑ์ลำไยมีระบบการนำเข้าที่เข้มงวดโดยหน่วยสอบและกักกันโรคพืชของไต้หวัน ตรวจสอบหนอนและแมลงที่ติดมากับผลไม้ หากพบจะดำเนินการกำจัดโดยการรมควัน (คณะกรรมการร่วม WTO, 2547)
ประเทศฟิลิปปินส์
ตลาดลำไยฟิลิปปินส์
ลำไยที่จำหน่ายในตลาดเป็นลำไยจากไต้หวัน ขนาดผลเล็ก รสไม่หวาน และเมล็ดโต ผู้บริโภคไม่นิยมเมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้อื่น เช่น องุ่น มะม่วง และแอปเปิ้ล เนื่องจากราคาสูง และผลผลิตที่วางจำหน่ายไม่น่ารับประทาน ซึ่งลำไยไทยเมื่อเปรียบเทียบกับลำไยที่จำหน่ายในตลาดแล้วมีคุณภาพดีกว่า และหลากหลายกว่า สามารถสนองตอบต่อผู้บริโภคในแต่ละระดับได้ดี และฟิลิปปินส์ไม่มีกฎระเบียบนำเข้าสินค้าจึงเป็นโอกาสในการส่งออกลำไยไทยมาฟิลิปปินส์ (สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศฯ ณ กรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์, 2538)
ประเทศบรูไน
ตลาดลำไยบรูไน
ชาวบรูไนชื่นชอบลำไยไทยรองจากทุเรียน ปริมาณส่งออกส่วนใหญ่ส่งผ่านสิงคโปร์ ซึ่งค่าขนส่งและราคาต่ำกว่าส่งออกโดยตรงจากไทย ไต้หวันเป็นคู่แข่งของไทยแต่ปริมาณนำเข้าไม่มากนัก และผู้บริโภคนิยมลำไยไทยมากกว่า ประกอบกับลำไยไต้หวันออกสู่ตลาดช้ากว่าการนำเข้าลำไยอบแห้งจากไทย ในอดีตบรูไนเคยนำเข้าลำไยกระป๋องจากไต้หวันและไทย แต่ในปัจจุบันนำเข้าจากประเทศไทยเท่านั้น เนื่องจากราคาลำไยกระป๋องของไต้หวันสูงกว่าไทย (สำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศฯ ณ กรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน, 2538)
บรูไนมีการนำเข้าลำไยสดจากไทยแต่ละปีมีจำนวน 400-600 ตัน โดยผ่านสิงคโปร์ ลำไยกระป๋องมีปริมาณนำเข้าปี พ.ศ. 2538 จำนวน 60 ตัน ส่วนลำไยอบแห้งนำเข้าจากไทยเท่านั้น ลำไยอบแห้งสามารถนำเข้าได้โดยเสรีไม่มีภาษีนำเข้า ไม่มีการกำหนดโควตานำเข้า และไม่ต้องอนุญาตนำเข้าเพียงแต่จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามพิธีศุลกากร จึงเป็นโอกาสในการขยายตลาดลำไยอบแห้งไปยังตลาดนี้เพิ่มขึ้น แต่การส่งออกลำไยสดสู่ตลาดบรูไนทางเครื่องบิน และทางเรือ ยังมีปัญหาระวางไม่เพียงพอและไม่มีเส้นทางเดินเรือโดยตรง (เส้นทางเดินเรือผ่านสิงคโปร์ใช้เวลา 10-15 วัน) ทำให้ช่วงเวลาการจำหน่ายสั้น หากลำไยไม่แก่เต็มที่จะเน่าเสียได้ง่าย และลำไยที่จำหน่ายในตลาดส่วนใหญ่มีคุณภาพต่ำ รวมทั้งการนำเข้าลำไยสดจะต้องมีหนังสือรับรองคุณภาพ และจำนวนสารตกค้างจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยตามมาตรฐานที่กำหนดมาแสดง และขออนุญาตนำเข้าจาก Department of Agriculture ของบรูไนก่อน (สำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศฯ ณ กรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน, 2538)
ประเทศบรูไนเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญกับประเทศไทย และประเทศบรูไนมีการนำเข้าลำไยสดจากประเทศไทย ในปี 2546 ปริมาณ 99,642 กิโลกรัม และมีมูลค่าเท่ากับ 2,657,864 บาท (กรมศุลกากร, 2546)
ประเทศอินโดนีเซีย
ตลาดลำไยอินโดนีเซีย
อินโดนีเซียเป็นตลาดผลไม้ขนาดใหญ่ ด้วยประชาชนที่มากถึง 120 ล้านคน แต่มีกลุ่มบุคคลรายได้ป่านกลางขึ้นไปประมาณ 20 ล้านคนที่มีศักยภาพบริโภคผลไม้จากต่างประเทศที่มีราคาทั่วไปสูงกว่าผลไม้ในประเทศได้ ประกอบกับนิยมชมชอบผลไม้ไทย รวมทั้งนิยมบริโภคลำไยคุณภาพดี รสหวาน เนื้อหนา และราคาไม่สูงเกินไปนัก ซึ่งเดิมการนำเข้าลำไยจะผ่านพ่อค้าสิงคโปร์ และมีแนวโน้มการนำเข้าเพิ่มขึ้น โดยการนำเข้าผู้ค้าส่ง/ผู้นำเข้าโดยตรง ในกรณีห้างซุปเปอร์มาร์เกตนำเข้าปริมาณการจำหน่ายมีไม่มากนักและจะเลือกนำเข้าจากผู้ส่งออกที่สามารถส่งมอบสินค้าคุณภาพดี ส่งได้ตรงตามเวลาเท่านั้น แต่ค่าขนส่งโดยตรงจากไทยถึงอินโดนีเซียสูงกว่าการขนส่งโดยผ่านสิงคโปร์ถึงอินโดนีเซีย (สำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศฯ ณ กรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย, 2538)
ประเทศอินโดนีเซียมีการนำเข้าลำไยจากประเทศไทยในช่วงเดือนมกราคม ถึงเดือนตุลาคม 2547 มีปริมาณ 32,372,640 กิโลกรัมและมีมูลค่าถึง 691,620,046 บาท (กรมศุลการกร, 2547) ผลไม้ไทยเป็นที่รู้จักดีในตลาดอินโดนีเซีย ทั้งทุเรียน มะละกอ รวมทั้งลำไย เป็นที่ลำไยอย่างมาก (สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ, 2546)
สาธารณรัฐเกาหลี
ตลาดลำไยเกาหลี
เกาหลีนำเข้าลำไยอบแห้ง เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบผสมในการปรุงยาแผนโบราณ หรือสมุนไพรเท่านั้น มีการจำกัดปริมาณความต้องการ ไม่มีการอนุญาตให้นำเข้าลำไยสด (สำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศฯ ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี, 2538)
ประเทศไทยยังคงเป็นแหล่งนำเข้าลำไยอบแห้งที่สำคัญของเกาหลี เนื่องจากคุณภาพลำไยอบแห้งของไทยดีกว่าประเทศคู่แข่งขัน (จีน เวียดนาม และไต้หวัน) ในปี พ.ศ. 2537 มีการนำเข้าจากไทยจำนวน 625 ตัน หรือ 92.26% ของปริมาณนำเข้าทั้งหมด และมีแนวโน้มปริมาณนำเข้าเพิ่มขึ้น การอนุญาตนำเข้าลำไยอบแห้งในปัจจุบันไม่มีการจำกัดปริมาณนำเข้า แต่ผู้นำเข้าจะต้องได้รับการรับรองจากสมาคมผู้ส่งออก/นำเข้าสมุนไพร สาธารณรัฐเกาหลีมีหน่วยงานตรวจสอบที่เข้มงวด คือ สำนักงานตรวจสอบกักกันโรคพืช (Korean Plant Quarantine Office) (สำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศฯ ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี, 2538)
สาธารณรัฐเกาหลี มีการนำเข้าลำไยจากประเทศไทยในช่วงเดือนมกราคม ถึงเดือนตุลาคม 2547 เป็นปริมาณ 1,400 กิโลกรัม เป็นมูลค่าเท่ากับ 60,474 บาท (กรมศุลกาการ, 2547) ในเดือนกรกฎาคม 2546 สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศได้จัดงานประชาสัมพันธ์ในงาน Thailand Fruit Festival 2003 ที่สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโซลจัดขึ้น 2 ครั้งร่วมกับ Hyundai Department store รวม 6 สาขา และเผยแพร่ทางสื่อต่างๆได้รับความสนใจจากผู้บริโภคชาวเกาหลีเป็นที่น่าพอใจ (สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ, 2546)
ประเทศในแถบตะวันออกกลาง
ตลาดประเทศในแถบตะวันออกกลาง
ประเทศในแถบตะวันออกกลางเป็นกลุ่มลูกค้าที่น่าสนใจอย่างมากกับผลิตภัณฑ์ลำไยแปรรูปของไทย โดยเฉพาะลำไยกระป๋อง เพราะเป็นสินค้าที่มีอายุการเก็บรักษาได้นาน และยังให้ความสะดวกสบายต่อการบริโภคด้วย ตลาดตะวันออกกลางจึงเป็นตลาดหนึ่งที่ไทยควรให้ความสำคัญ เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่ร่ำรวยและมีศักยภาพในการขยายตลาด (นฤมล กิตติโชติรัตน์, 2542, น.53)
ประเทศในแถบยุโรป
ประเทศในแถบยุโรปเป็นตลาดที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง ดูได้จากปริมาณการนำเข้าลำไยจากประเทศไทย ตัวอย่างเช่น สหราชอาณาจักรมีการนำเข้าลำไยจากประเทศไทยในช่วงเดือนมกราคม ถึงเดือนตุลาคม 2547 มีปริมาณถึง 366,634 กิโลกรัมและมีมูลค่าเท่ากับ 13,843,117 บาท (กรมศุลกากร, 2547) และประเทศฝรั่งเศสมีการนำเข้าลำไยในช่วงเดียวกันมีปริมาณ 489,427 กิโลกรัมและมีมูลค่า 7,066,047 บาท (กรมศุลกากร, 2547) เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น